Article

เคล็ดลับกำจัดไรฝุ่น

เคล็ดลับการกำจัดไรฝุ่น

Previous
Next
 เพราะคนเราใช้เวลาอยู่ในห้องนอนมากกว่าสถานที่อื่นๆ
 
          ยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ไรฝุ่นนั้น เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีจัดการฝุ่นในห้องนอน เพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ วันนี้เรามีวิธีง่ายๆ พร้อมเคล็ดลับการทำความสะอาดที่นอน ที่ได้ผลมาแนะนำกัน

ไรฝุ่นสามารถอาศัยในที่นอนได้ถึง 2 ล้านตัว

       ไรฝุ่น สามารถพบอยู่กับฝุ่นตามพื้นบ้าน ห้องนอน ที่นอน หมอน พรม ตุ๊กตาขน และเครื่องเรือนต่างๆ โดยชอบอาศัยในที่อับชื้น และที่อบอุ่น ไรฝุ่นกินเศษผิวหนังและรังแคเป็นอาหาร จากนั้นจะถ่ายมูลไว้ในสถานที่ที่อาศัยอยู่ โดยเฉพาะบนเตียง หรือที่นอน ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของตัวไรฝุ่นและมูลของไรฝุ่น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ในฝุ่น 1 กรัม สามารถพบไรฝุ่นได้ถึง 500 ตัว นอกจากนี้ยังพบอีกว่าน้ำหนัก 1 ใน 10 ของหมอนเก่าอายุ 6 ปี มาจากไรฝุ่นและมูลของไรฝุ่น และในที่นอน 1 หลัง มีไรฝุ่นอาศัยอยู่ประมาณ 2 ล้านตัว อีกทั้งมูลของไรฝุ่นสามารถฟุ้งกระจายได้ง่ายและลอยเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของเราในขณะนอนหลับ

ภาพ 1 : การเคลื่อนที่ของไรฝุ่น

มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ เศษหนังกำพร้าของคน 1 กรัม เป็นอาหารให้ไรฝุ่นหนึ่งล้านตัวมีชีวิตได้นานถึง 1 สัปดาห์ซึ่งตามปกติคนเราจะมีผิวหนังหลุดลอกออกมาถึง 1.5 กรัมต่อวันนั้น ยิ่งจะเป็นการทำให้ไรฝุ่นอยู่กับเราได้นานขึ้นอีกเป็น 1 สัปดาห์กว่าๆ ดังนั้น การตัดวงจรอาหารของไรฝุ่นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อทำให้ตัวไรฝุ่นขาดอาหารและลดจำนวนลง

4 เคล็ดลับการทำให้ห้องนอนปลอดไรฝุ่น

1. หมั่น กวาด เช็คทำความสะอาดห้องนอนและที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้มีฝุ่นจับตัวกันหนา โดยเฉพาะเครื่องนอนและผ้าม่านควรปัดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ซักทำความสะอาดชุดเครื่องนอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ด้วยน้ำร้อน 55-60 องศาเซลเซียส หรืออาจนำ ที่นอน หมอน และพรม มาตากแดดจัดประมาณ 3 ชั่วโมงขึ้นไป สามารถช่วยฆ่าและลดจำนวนตัวตัวไรฝุ่นได้
 
2. หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่สะสมฝุ่นได้ง่ายและทำความสะอาดได้ยาก เช่น ผ้าบุที่หนาหยาบ พรมที่มีขนฟู ใช้เครื่องนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์ เป็นต้น
3. ควรเปิดผ้าม่าน หน้าต่าง ให้แดดส่อง ที่นอนหรืออาจนำออกมาตากแดดเลยก็ได้อย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเป็นฆ่าเชื้อโรคและระบายอากาศภายในห้องนอน ไม่ให้เกิดความอับชื้น ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยอย่างดีสำหรับไรฝุ่น
 
4. ไม่ควรเก็บตุ๊กตาขนไว้ในห้องนอน เพราะขนของตุ๊กตาถือเป็นแหล่งสะสมฝุ่นและไรฝุ่นได้อย่างดี แต่ถ้าหากต้องการเก็บตุ๊กตาขนไว้ในห้องนอน จำเป็นจะต้องมีการทำความสะอาดอย่างน้อยเดือนละครั้ง
และไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในห้องนอน เพราะรังแคจากสัตว์เลี้ยงถือเป็นอาหารชั้นดีของไรฝุ่นได้เช่นกัน
  • All
  • ที่นอนผู้สูงอายุ
  • ผลวิจัยการนอนเพื่อสุขภาพ
  • พฤติกรรมการนอนน้อย
  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ ไรฝุ่น ไวรัส เชื้อรา ในที่นอน
  • วิธีดูแลตัวเอง
  • วิธีเลือกที่นอน
  • อาการจาม
  • โรคจมูกอักเสบ
  • ไรฝุ่น

นักวิจัยพบความลับของเสียงและการงีบหลับ มีส่วนช่วยพัฒนาสมองและความจำ

นักวิจัยพบความลับของเสียงและการงีบหลับ มีส่วนช่วยพัฒนาสมองและความจำ

เมื่อคนเราอายุมากขึ้นประสิทธิภาพด้านความจำก็มักจะเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา

 มักเกิดอาการหลงๆ ลืมๆ ดังเช่นผู้สูงอายุชอบเป็นกัน ถ้าไม่อยากมีอาการหลงลืมการวัยอันควร 

การงีบหลับในระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถทำให้การจดจำดีขึ้นได้อีกด้วย

การทดลองจากเสียง

นักวิจัยได้ทำการทดลองโดยใช้เสียงจำนวน 25 เสียง ตั้งแต่เสียงผิวปาก เสียงกาต้มน้ำ จนกระทั่งเสียงร้องของแมว ในขณะที่ทำการทดลองผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะไม่ทราบเลยว่าจะได้ยินเสียงดังกล่าวในขณะที่หลับอยู่ และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาและจะได้รับการทดสอบเพื่อเก็บข้อมูล ซึ่งผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าความทรงจำของพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้เข้าร่วมการทดลองจะรับการทดสอบโดยการจับคู่วัตถุกับเสียงที่มีความสอดคล้องกันด้วยคอมพิวเตอร์ 25 ภาพ ซึ่งสามาจับคู่วัตถุกับเสียงได้ถูกต้องอย่างมีมีนัยยะสำคัญ

 

                ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วคนเราไม่ได้อยู่ในสภาวะปิดการรับรู้ของเราทั้งหมดในขณะที่นอนหลับอยู่ โดย John Rudoy ได้ทำการศึกษาในระดับปริญญาเอกด้านประสาทวิทยาที่ Northwestern กล่าวเพิ่มเติบว่า ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการรวมความทรงจำก็คือช่วงเวลาที่เรานอนนั้นเอง ดังเช่นผลจากการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเสียงสามารถแทรกซึมการนอนหลับลึกของเราได้ อีกทั้งเป็นการผลักดันและรวบรวมความทรงจำของคนเราให้ไปในทิศทางเดียว

การประมวลผลความทรงจำ

“ในขณะที่นอนหลับคนเราอาจจะกำลังประมวลผลความทรงจำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างวัน เช่น กินอะไรเป็นอาหารเช้า รายการโทรทัศน์ที่เขาดู หรืออะไรก็ตามแต่” โดย Ken Paller ศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยาที่ Northwestern Weinberg วิทยาลัยศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ได้ตัดสินใจที่จะกระตุ้นความทรงจำของอาสาสมัครโดยการแนะนำให้พวกเขาเข้ารับการฝึกซ้อมและเรียนรู้เกี่ยวกับเสียงและความทรงจำเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันอีกด้วย

 

นอกจากนี้ถ้าต้องการที่จะปรับปรุงความจำ การงีบหลับช่วยคุณได้

“หากคุณกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการพรีเซ้นต์งานขนาด Big project บางทีคุณอาจจำเป็นที่ต้องใช้เวลาสำหรับการงีบหลับสักหน่อย” การวิจัยที่มหาวิทยาลัยซาร์ลันด์ ประเทศเยอรมนี ในการศึกษาด้านความทรงจำของสมอง โดยทำการทดลองจากอาสาสมัคร 41 คน พบว่า ในชั่วโมงของการงีบหลับ สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพหน่วยความจำของพวกเขาได้ถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

การทำงานของสมองในระหว่างการนอนหลับ

สาเหตุที่การงีบหลับ สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพความทรงจำได้ เพราะฮิบโปแคมปัสของสมองซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายโอน Consolidation หรือหน่วยความจำการเรียนรู้ข้อมูลลงในหน่วยความจำการเก็บข้อมูลของสมองหลังจากที่ได้เรียนรู้ มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นภายหลังจากได้รับการงีบหลับ

                  นอกจากนี้ การทดสอบด้วยเครื่องวัดคลื่นสมอง พบว่า การนอนหลับ (1 ชั่วโมงขึ้นไป) ในระหว่างวันที่มากเกินไปไม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานฮิบโปแคมบัสในการรับข้อมูลอีกด้วย

 

             นักวิจัยได้ทำการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อคลี่คลายกลไกของสมองที่แตกต่างกัน ระหว่างข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ และข้อมูลที่ถูกลืมโดยการนอนหลับ อย่างไรก็ตามการงีบหลับในระยะสั้นๆ มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะช่วยในการปรับปรุงกระบวนการความจำและเรียนรู้ของสมองที่มากพอ

 

 เห็นไหมล่ะว่า การนอนหลับนั้นดีต่อสุขภาพร่างกายขนาดไหน ทั้งฟื้นฟูซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยในเรื่องความจำอีกด้วย แต่ต้องระวังการนอนงีบหลับระหว่างวันที่มากเกินไป อาจทำให้ร่างกายเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนได้

  • All
  • ที่นอนผู้สูงอายุ
  • ผลวิจัยการนอนเพื่อสุขภาพ
  • พฤติกรรมการนอนน้อย
  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ ไรฝุ่น ไวรัส เชื้อรา ในที่นอน
  • วิธีดูแลตัวเอง
  • วิธีเลือกที่นอน
  • อาการจาม
  • โรคจมูกอักเสบ
  • ไรฝุ่น

ฉีดซิโนแวกแล้ว จะไปเที่ยวยุโรปได้ไหม แล้วจะไปติดโควิดจากที่นั่นหรือปล่าว

ฉีดซิโนแวกแล้ว จะไปเที่ยวยุโรปได้ไหม แล้วจะไปติดโควิดจากที่นั่นหรือปล่าว

                ข้อมูลจาก ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า หลังฉีด ซิโนแวก 3 สัปดาห์ คน 66 % (124 ใน 188 ราย) จะสร้างแอนตี้บอดี้ และเมื่อกระตุ้นด้วยเข็มสอง ภายใน 4 สัปดาห์คน คน 99.49  % จะสร้างแอนตี้บอดี้

                 ดังนั้น จึงประมาณได้ว่า หากเราจะไปต่างประเทศ ก็ควร ไป หลังการฉีดกระตุ้นเข็มสอง 4 สัปดาห์จึงจะมีความปลอดภัย  แต่หากประเทศปลายทาง ยังไม่ยอมรับวัคซีนซิโนแวท ก่อนการเดินทาง เราก็สามารถไปฉีดวัคซีนตัวที่ประเทศนั้นยอมรับก็ได้ อาทิ อาจจะเป็น ไฟเซอร์ หรือ แอสตราซิเนกา

              ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2021 ทาง องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศรับรอง วัคซีนโควิด19 ที่ผลิตโดยบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค ใช้ในกรณีฉุกเฉินได้แล้ว
เมื่อเร็วๆนี้ ทาง WHO ได้ออกมายอมรับว่า เชื้อโควิดนี้ ไม่ได้แค่อยู่ใน ละอองฝอย แต่ เชื้อนี้อยู่ในละอองลอย และ ยัง airborne ล่องลอยอยู่ในอากาศอยู่ได้หลายชั่วโมงลักษณะเดียวกับควัน หากเชื้ออยู่แต่ในละอองฝอย การล้างมือบ่อยและ การ social distancing ก็จะเพียงพอ แต่เพราะเชื้อนั้นอยู่ในละอองลอยด้วย การใส่หน้ากากจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

            ทีนี้ เมื่อเราเดินทางไปต่างประเทศ โอกาส ที่เราจะไปรับเชื้อนั้นก็เป็นไปได้เสมอ ดังนั้นการใส่หน้ากากทั้งในสนามบิน ในเครื่องบิน และ เมื่ออยู่นอกที่พัก จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ถ้าเราเผลอเรอชอบไปจับหน้ากาก หรือหน้ากากหลวมหล่นมาอยู่ที่ปาก ก็จะทำให้ เชื้อไวรัส เล็ดลอดเข้าจมูกของเราได้ คนที่ไม่ได้ใส่แว่น ก็มีความเสี่ยงมากกว่า เพราะ เชื้อสามารถเข้าสู่เยื่อบุตาของเรา ได้โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นเลย

           ขณะนี้ มีหน้ากากที่ใช้นวัตกรรมสิ่งทอ ไวโรบล็อค (viroblock) จากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่ง ทำได้มากกว่าป้องกันไวรัส แต่ต่อสู้ ไวรัสที่มาเกาะติดหน้ากากเราได้ด้วย เป็นการคิดค้น ที่ได้รับรางวัล Swiss Technology Award 2020 ด้วยการผสานซิลเวอร์นาโน กับ เวสิเคิล ลิโปโซม (Vesicle liposome) เจาะเปลือกไขมันของไวรัสเข้าไป แล้วทำลายสารพันธุกรรมของมัน
 

        ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพจาก 3 สถาบันชั้นนำ (UK, China and Thailand) ตามมาตรฐาน ISO 18184 ว่าต่อต้านทำลายไวรัสได้จริง ผลการทดสอบจาก มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ผ้าคอตต้อนที่เคลือบไวโรบล็อค ต่อต้านไวรัส ได้ถึง 99.98 % และ แม้ผ่านการซักน้ำ 15 ครั้ง ก็ยังมีฤทธิ์ต่อต้านได้ ถึง 99.47 % นอกจากนี้ ไวโรบล็อคยังปลอดภัยต่อผิวหนัง และร่างกายมนุษย์ เนื่องจากได้รับตรา Okeo Tex Standard ซึ่งเป็นเครื่องหมายออกให้สำหรับสิ่งทอที่มีความปลอดภัย อีกด้วย

Facebook
Twitter
WhatsApp
Email
  • All
  • ที่นอนผู้สูงอายุ
  • ผลวิจัยการนอนเพื่อสุขภาพ
  • พฤติกรรมการนอนน้อย
  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ ไรฝุ่น ไวรัส เชื้อรา ในที่นอน
  • วิธีดูแลตัวเอง
  • วิธีเลือกที่นอน
  • อาการจาม
  • โรคจมูกอักเสบ
  • ไรฝุ่น

ไม่กล้าฉีดวัคซีนโควิด กลัวลิ่มเลือดอุดตัน ขอใส่หน้ากากอนามัยอย่างเดียวได้ไหม

ไม่กล้าฉีดวัคซีนโควิด กลัวลิ่มเลือดอุดตัน ขอใส่หน้ากากอนามัยอย่างเดียวได้ไหม

                              ในรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ พ.อ. นพ.วิริสสร วงศ์ศรีชนาลัย อายุรแพทย์ โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤต รพ. จุฬาลงกรณ์ ได้กล่าวว่า หากคนไข้ติดเชื้อโควิดแล้ว เชื้อนี้มักจะทำให้เกิดการอักเสบในเส้นเลือดที่รุนแรงมาก เกิดการอักเสบไปทั่วร่างกาย โดยทั่วไปพบว่า คนไข้ 5 ใน 100 ราย (หรือประมาณ 2-5 % ) จะเกิดลิ่มเลือดอุดตัน

               ในขณะเดียวกัน สำหรับคนที่ฉีดวัคซีนนั้น โอกาส การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ คือ 4 ใน 100000 ราย เป็นอุบัติการณ์ที่ต่ำกว่ากรณีติดเชื้อโควิดแล้วลิ่มเลือดอุดตันอยู่มาก และอีกประการหนึ่ง ลิ่มเลือดอุดตัน นี้ เกี่ยวกับ เชื้อชาติด้วย การเกิดขึ้นพบได้บ่อยกว่าในกลุ่มคนสแกนดิเนเวีย มากกว่าคนเอเชีย มักเกิดในหญิง มากกว่าชาย และยาคุมกำเนิด มีส่วนทำให้ เลือดหนืดขึ้น ไหลช้า ทำให้เกิดลิ่มเลือดง่ายขึ้น

                 ดูจากข้อมูลนี้แล้ว คุ้มที่จะฉีดวัคซีนมากกว่า นอกจาก อุบัติการณ์ลิ่มเลือดอุดตันต่ำกว่าเมื่อเป็นโควิดจริงๆ เรายังได้ทำตัวเองให้เป็นเกราะป้องกัน คนในบ้านที่อ่อนแอ สูงวัย หรือเด็กเล็กๆ ด้วย เนื่องจากวัคซีนจะช่วยให้เราไม่นำพาเชื้อที่รุนแรงเข้าบ้าน

                  หน้ากากอนามัย ป้องกันเราจาก ดร็อปเลต ละอองฝอย ได้ในระดับหนึ่ง แต่ ความเผลอเรอชอบไปจับหน้ากาก หรือหน้ากากหลวมหล่นมาอยู่ที่ปาก ก็ทำให้ เชื้อไวรัส เล็ดลอดเข้าจมูกของเราได้ คนที่ไม่ได้ใส่แว่น ก็มีความเสี่ยงมากกว่า เพราะ เชื้อสามารถเข้าสู่เยื่อบุตาของเรา ได้โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นเลย 

                    ขณะนี้ มีหน้ากากที่ใช้นวัตกรรมสิ่งทอ ไวโรบล็อค (viroblock) จากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่ง ทำได้มากกว่าป้องกันไวรัส แต่ต่อสู้ ไวรัสที่มาเกาะติดหน้ากากเราได้ด้วย เป็นการคิดค้น ที่ได้รับรางวัล Swiss Technology Award 2020 ด้วยการผสานซิลเวอร์นาโน กับ เวสิเคิล ลิโปโซม (Vesicle liposome) เจาะเปลือกไขมันของไวรัสเข้าไป แล้วทำลายสารพันธุกรรมของไวรัส

                     ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพจาก 3 สถาบันชั้นนำ (UK, China and Thailand) ตามมาตรฐาน ISO 18184 ว่าต่อต้านทำลายไวรัสได้จริง ผลการทดสอบจาก มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ผ้าคอตต้อนที่เคลือบ ไวโรบล็อค ต่อต้านไวรัส ได้ถึง 99.98 % และ แม้ผ่านการซักน้ำ 15 ครั้ง ก็ยังมีฤทธิ์ต่อต้านได้ ถึง 99.47 % นอกจากนี้ ไวโรบล็อคยังปลอดภัยต่อผิวหนัง และร่างกายมนุษย์ เนื่องจากได้รับตรา Okeo Tex Standard ซึ่งเป็นเครื่องหมายออกให้สำหรับสิ่งทอที่มีความปลอดภัย อีกด้วย

พฤติกรรมการนอนน้อย ส่งผลกระทบต่ออาการไมเกรนและปวดหลังที่รุนแรงขึ้น

พฤติกรรมการนอนน้อย ส่งผลกระทบต่ออาการไมเกรนและปวดหลังที่รุนแรงขึ้น

การนอนทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะทุกส่วนได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการทำงานในวันต่อไป เมื่อนอนน้อยอาจส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิตต่ำลง ซึ่งมีงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าผู้ที่นอนน้อยเป็นประจำ อาจมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติ อีกทั้งยังมีส่งผลกระทบต่ออาการไมเกรนและปวดหลังอีกด้วย

ปวดไมเกรนมีความสัมพันธ์กับการนอนหลับที่ผิดปกติ

พฤติกรรมการอดหลับอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพออาจทำให้อาการปวดหัวไมเกรนรุนแรงมากขึ้น จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย แห่งรัฐมิสซูรี ได้ทำการทดลองในกลุ่มหนูทดลอง ซึ่งจะถูกทำให้ไม่ได้นอนเป็นเวลา 3 คืนติดต่อกัน และกลุ่มหนูทดลองที่เหลือให้นอนหลับอย่างปกติ ซึ่งหนูที่ไม่ได้รับการนอนหลับจะเกิดภาวะระดับโปรตีนที่ต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาท จากผลการทดลองนี้ นำไปสู่การข้อสรุปที่ชาวอเมริกันประมาณ 36 ล้านคน เผชิญกับอาการปวดหัวไมเกรนที่รุนแรงมากขึ้น และส่วนใหญ่มักมีอาการปวดไมเกรนอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อเดือน เพราะการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

อาการปวดหัวไมเกรน ควรได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน แต่ต้องไม่ใช่การนอนหลับที่มากเกินไปด้วย ดร. เดวิด Dodick ประธานสมาคมการปวดหัวของชาวอเมริกัน กล่าวใน WebMD ข่าวเกี่ยวกับสุขภาพว่า “หากผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน การตื่น 6 โมงเช้าในระหว่างสัปดาห์ คือวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ และนอนตลอดวันเสาร์ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการปวดหัวไมเกรนที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้มีอาการปวดหัวไมเกรนการนอนหลับพักผ่อนที่ตรงเวลาเป็นประจำ เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนจำเป็นต้องที่จะต้องนอนหลับพักผ่อนและตื่นในช่วงเวลาเดิมๆ ของทุกวัน แม้จะเป็นวันหยุดก็ตาม นั้นจึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมทุกๆ วันหยุดมักจะมีอาการปวดหัวไมเกรนมากกว่าวันปกติ”

คุณภาพของการนอนหลับมีส่วนเชื่อมโยงกับอาการปวดหลังช่วงล่าง อย่างรุนแรงอีกด้วย

งานวิจัยเกี่ยวกับอาการปวดหลัง ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร โรคปวดข้อและวิทยารูมาติก ให้การแนะนำผู้ที่มีอาการปวดหลังช่วงล่าง เกี่ยวกับคุณภาพของการนอนหลับที่ดีว่ามีความเชื่อมโยงต่ออาการปวดหลังช่วงล่าง เป็นการศึกษาโดยตรงของด็อกเตอร์ Saad M.Alsaadi โรงพยาบาลคิงฟาฮ์ดมหาวิยาลัยใน ซาอุดิอาระเบีย และผู้ที่มีส่วนร่วมได้ทำการพิจารณาผลกระทบคุณภาพของการนอนหลับ ที่ส่งผลกระทบต่อการปวดหลังอย่างที่รุนแรงมากขึ้น โดยได้ทำการศึกษาผลกระทบของคุณภาพการนอนหลับ จากผู้ที่มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงจำนวน 1,246 คน นักวิจัยพบว่าการนอนหลับที่แย่ส่งผลผลกระทบต่อความปวดหลังแบบรุนแรง โดยคุณภาพการนอนหลับที่ลดลง อาจจะมีการเพิ่มขึ้นถึง 2.08 เท่าของอาการความปวดหลังแบบรุนแรง ซึ่งผลกระทบนี้ไม่เกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ผลลัพธ์ของงานวิจัยชี้ให้เห็นถึงการมีบทบาทสำคัญของการออกแบบที่นอนที่ดี เหมาะสมกับโครงสร้างของร่างกายของคนเราเพื่อการพักผ่อนที่ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญต่อผู้ที่มีอาการปวดหลังช่วงล่าง ในการช่วยป้องกันและลดอาการปวดอีกด้วย

 

 

การนอนหลับพักผ่อนมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเราอย่างมาก

การเลือกที่นอนที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่่ไม่ควรมองข้าม เพราะที่นอนที่ดีจะช่วยทำให้เรานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ และตื่นขึ้นมาพร้อมกับสุขภาพที่ดี

Facebook
Twitter
WhatsApp
Email
  • All
  • ที่นอนผู้สูงอายุ
  • ผลวิจัยการนอนเพื่อสุขภาพ
  • พฤติกรรมการนอนน้อย
  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ ไรฝุ่น ไวรัส เชื้อรา ในที่นอน
  • วิธีดูแลตัวเอง
  • วิธีเลือกที่นอน
  • อาการจาม
  • โรคจมูกอักเสบ
  • ไรฝุ่น

แก้ไขปัญหานอนหลับยาก ตื่นไม่เป็นเวลา ด้วยวิธีแสนง่ายจนคุณคิดไม่ถึงเลยเชียวล่ะ

แก้ไขปัญหานอนหลับยาก ตื่นไม่เป็นเวลา ด้วยวิธีแสนง่ายจนคุณคิดไม่ถึงเลยเชียวล่ะ

Previous
Next

เพื่อทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ภายในร่างกายได้ฟื้นตัว เป็นไปอย่างเป็นปกติ ระยะเวลาของการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ จึงมีความสำคัญต่อร่างกานอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลต่อสภาพจิตใจ ช่วยทำให้จิตใจแจ่มใสเบิกบาน ดังนั้นการได้นอนหลับอย่างสนิทเต็มตื่น เป็นเรื่องที่ควรใส่ใจอย่างมาก

ภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง

           จะมีความวิตกกังวลและเครียดได้ง่ายกว่าผู้ที่นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม อาการนอนไม่หลับและวิตกกังวล ตึงเครียด สามารถลดลงและหายไปได้ หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับ ให้มีพฤติกรรมที่ส่งเสริมในการนอนหลับพักผ่อนได้อย่างสนิทตลอดคืน ดังนี้

ปรับเปลี่ยนเวลาพักผ่อน

เริ่มต้นจาก การเข้านอน และ ตื่นนอนให้เป็นเวลา และตื่นนอนในช่วงเวลาเดิมๆ เพือเป็นการทำให้ร่างกายจดจำและเกิดความเคยชิน หากในวันที่ต้องนอนดึกด้วยภาระหน้าที่ ธุระบางอย่าง จนต้องนอนดึกกว่าปกติ ก็ควรพยายามตื่นให้ในช่วงเวลาเดิม แม้จะได้นอนน้อยกว่าปกติและเกิดอาการ ง่วงหงาว หาวนอน บ้างในระหว่างวัน แต่เมื่อถึงเวลาปกติ ในการนอนหลับพักผ่อนร่างกายก็จะหลับได้อย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายเกิดการจดจำพฤติกรรมการนอนหลับ และตื่นนอนแบบนี้แล้ว

ลุกจาก ที่นอน ทันทีหลังจากตื่น

หลังจากเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น พฤติกรรมยอดฮิตคนส่วนใหญ่มักจะเป็นการขอนอนต่อสัก 5 นาที 10 นาที หรือถ้าบางคนนอนเพลินหน่อยก็อาจยาวเป็นชั่วโมงๆ เลยก็ได้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยนโดยด่วน

เป็นการลุกจากที่นอนทันที เปิดหน้าต่างให้ดวงตาของเราได้รับแสงสว่างในช่วงเช้า เพราะแสงสว่างจะการส่งสัญญาณให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายตื่นตัวและทำกายบริหารเบาๆ สัก 10-15 นาที ให้เหงื่อออกพอซึมๆ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวอย่างเต็มที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิต ก่อนอาบน้ำแต่งตัวปฏิบัติภารกิจธุระต่างๆ ของวันต่อไป

หลีกเลี่ยงการงีบหลับระหว่างวัน

แม้จะดูเป็นเรื่องที่ดีในการได้งีบหลับระหว่างวัน แต่ก็แลกมาด้วยผลเสียด้วยเช่นกัน เพราะการงีบหลับระหว่างวัน (ที่มากเกินไป) จะเป็นการรบกวนการนอนหลับพักผ่อนในเวลากลางคืน แต่สำหรับผู้ที่ง่วงมาก จนรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วอาจงีบหลับระหว่างวันได้ แต่ต้องเป็นเพียงแด่ระยะเวลาสั้นๆ ประมาณไม่เกิน 20 นาที ก็จะสามารถช่วยทำให้คลายจากความง่วงได้

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ เป็นคำพูดที่เรามักจะได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แต่น้อยคนนักที่จะใส่ใจ และตระหนักถึงคุณประโยชน์ของการกีฬาจริงๆ ซึ่งพฤิตกรรมการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก สามารถแก้ได้ด้วยการเล่นกีฬา ออกกำลังกายเช่นกัน เช่น การเดินเร็ว ปั่นจักรยาน วิ่ง เต้นแอโรบิคก็ได้ อย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์

จะเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่หรือตอนเย็นหลังเลิกงานก็ได้ เพราะการออกกำลังกายนี้ จะเป็นตัวช่วยลดความเครียดจากการใช้ชีวิต ทำงานมาตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังถือเป็นยานอนหลับชั้นเลิศอีกด้วย เพราะหลังจากออกกำลังกายแล้ว ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลีย ดังนั้นเมื่อหัวถึงหมอนเมื่อไหร่ รับรองว่าคุณจะหลับสนิทจนเช้าวันใหม่อย่างแน่นอน

เพื่อการนอนหลับพักผ่อนที่ดียิ่งขึ้น

          “ ด้วยที่นอน SLEEPEN เป็นที่นอนแบบสปริง มีความยืดหยุ่นและทนทาน วงสปริงผ่านการอบด้วยความร้อนสูง ให้คุณได้สัมผัสแห่งการนอนหลับสนิทตลอดคืน นุ่มสบายในทุกอิริยาบถ”

          การเลือกใช้ที่นอนที่ดี เหมาะสม มีคุณภาพย่อมส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อนที่ดีด้วย เพราะการได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม จะช่วยทำให้การตื่นนอน เป็นไปด้วยความสดชื่น ปราศจากความอ่อนเพลีย พร้อมสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกำลังใจ และพลังงานที่เต็มเปี่ยมอีกด้วย

Facebook
Twitter
WhatsApp
Email
  • All
  • ที่นอนผู้สูงอายุ
  • ผลวิจัยการนอนเพื่อสุขภาพ
  • พฤติกรรมการนอนน้อย
  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ ไรฝุ่น ไวรัส เชื้อรา ในที่นอน
  • วิธีดูแลตัวเอง
  • วิธีเลือกที่นอน
  • อาการจาม
  • โรคจมูกอักเสบ
  • ไรฝุ่น

การนอนหลับพักผ่อน ช่วยชดเชยผลกระทบจากภาวะ Digital Brain Drain

การนอนหลับพักผ่อน ช่วยชดเชยผลกระทบจากภาวะ Digital Brain Drain

Previous
Next

การปรับตัวให้สอดคล้องและก้าวทันตามเทคโนโลยีและกระแสสังคมที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อมีการเสพติดสื่อดิจิตอลและสภาวะออนไลน์มากเกินพอดี ก็จะส่งผลต่อความสามารถในการทำงานและการใช้ชีวิตของคนเรา ซึ่งมีงานวิจัยมากมายที่บอกเป็นทางเดียวกันเลยว่า การถูกรบกวนด้วยสื่อออนไลน์เหล่านี้ ส่งผลต่อ IQ ของเรามากกว่าการเสพยาเสพติด วันนี้ที่นอน SLEEPEN จึงมีสาระความรู้เกี่ยวกับภาวะ Digital Brain Drain หรือ ภาวะสมองไหล มาบอกกันค่ะ

ผลกระทบจากภาวะ Digital Brain Drain

            การหลั่งไหลของอีเมล์ ข้อความ การอัพเดตข้อมูลจากสื่อออนไลน์ต่างๆ การค้นหาจากคอมพิวเตอร์ และการค้นหาข้อมูลบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ไม่ได้ดึงแค่เวลาในชีวิตของคนเราไปอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงพลังงานของสมองเราอีกด้วย ทำให้ประสิทธิภาพลดน้อยลงและยังขัดขวางปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเราไปอย่างไม่รู้ตัว นอกจากนี้สื่อจากต่างประเทศยังรายงานอีกว่า คนส่วนมากใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ถึง 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยอีกด้วย

Previous
Next

สื่อจากต่างประเทศรายงาน

             สื่อในต่างประเทศให้ความสนใจเกี่ยวกับผลกระทบภาวะสมองไหล โดย ดร.เจนนิเฟอร์ แอสตัน นักวิจัยแห่งวงการแพทย์ กล่าวว่า ค่าเฉลี่ยของ ชาวอเมริกัน ใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการเสพอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ iPods และ Smartphone มากถึงวันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย (ข้อมูลจากสำนักข่าวซีบีเอส) ซึ่งการรับเอาข้อมูลที่มากเกินไปย่อมส่งผลเสียต่อสมองอย่างแน่นอน

สมองถูกทำลาย

           นักวิจัยยังกล่าวอีกว่า การรับข้อมูลดิจิตอลที่มากเกินไป ส่งผลกระทบถึงความคิดและความประพฤติได้ ซึ่งบางครั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

 

            แต่ในขณะเดียวกันความสามารถต่อการมีสมาธิในการเรียนรู้สิ่งต่างๆของเราจะถูกลดประสิทธิภาพเช่นกัน เพราะการได้รับข้อมูลที่มากเกินไปจากสื่อดิจิตอลนั้นเอง นอกจากนี้ แอสตันยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า สมองของคนเราจะเกิดการเสพติดเมื่อมีการกระตุ้นด้วยข้อมูลจากสื่อดิจิตอล ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ภาวะซึมเศร้าและปัญหาอื่นๆ ได้อีกด้วย และการแก้ไขปัญหาการเสพติดสื่อต่างๆ แอสตันได้ให้คำแนะนำวิธีไว้ดังนี้

คำแนะนำจากนักวิจัย

             ในแต่ละวันควรหยุดพักการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ ปิดอุปกรณ์และพูดคุยกับคนรอบข้าง หรืออาจออกไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายบ้าง ลองนั่งสมาธิ เพื่อพักผ่อนจิตใจ จะสามารถช่วยฟื้นฟูอาการสมองเหนื่อยล้าได้ ออกกำลังกายเสียบ้าง เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้น นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้สมองได้พักผ่อนและซ่อมแซมตัวเอง

            เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ดี เพราะสามารถช่วยให้การทำงานและการดำเนินชีวิตของคนในปัจจุบันง่ายขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามทุกอย่างควรอยู่บนความพอดี ไม่หักโหม ใช้งานมากจนเกินไป เพื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์

Facebook
Twitter
Email
WhatsApp
  • All
  • ที่นอนผู้สูงอายุ
  • ผลวิจัยการนอนเพื่อสุขภาพ
  • พฤติกรรมการนอนน้อย
  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ ไรฝุ่น ไวรัส เชื้อรา ในที่นอน
  • วิธีดูแลตัวเอง
  • วิธีเลือกที่นอน
  • อาการจาม
  • โรคจมูกอักเสบ
  • ไรฝุ่น

จุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากการนอนหลับ

จุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี หรือการเกิดโรคร้ายนั้น เริ่มต้นจากการนอนหลับ

         นอนดึก นอนน้อย นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนแบบนี้ระวังกันให้ดีๆ  เพราะนี่อาจเป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งสัญญาณอันตรายของโรคร้าย ที่อาจทำให้คุณกลายเป็นคนป่วยโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผลเสียของการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จากการวิจัยหลายสถาบัน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ส่งผลกระทบร้ายต่อสุขภาพร่างกายอย่างมาก

งานวิจัย มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย

          ผู้ที่มีค่าเฉลี่ยชั่วโมงการนอนเพียงแค่ 4.5 ชั่วโมงในแต่ละคืน ติดต่อกันเป็นระยะเวลายาว 1 สัปดาห์ มีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนมากกกว่าคนที่มีการนอนประมาณ 7 ชั่วโมงต่อคืน โดยที่อารมณ์แปรปรวนเหล่านี้ จะมีผสมไปด้วยความรู้สึกเครียด เศร้า ท้อแท้ โมโห และหงุดหงิด ซึ่งธรรมชาติของคนเราสามารถควบคุม

           การแสดงออกทางอารมณ์ได้ค่อนข้างดีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเมื่อใดเกิดการพักผ่อนที่น้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ย่อมส่งผลทำให้ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ลดน้อยลง และส่งผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย

Previous
Next

อาการปวดหัว

           แม้ว่าจะยังไม่มีนักวิจัยยืนยันว่าการนอนน้อย เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอาการปวดหัว แต่ยังมีปัจจัยบางอย่างที่สามารถอธิบายได้ถึงภาวะดังกล่าว

          เพราะการนอนน้อยจะทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญต่ออาการปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโรคประจำตัว เช่น ไมเกรน จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดอาการปวดหัวกำเริบ ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคไมเกรน อย่างไร 36-58% ของคนที่นอนไม่หลับ หรือพักผ่อนไม่พอ จะมีอาการปวดหัวหลังจากตื่นนอนด้วยเช่นกัน

อัตราการเป็นโรคหัวใจที่มากขึ้น

          นักวิจัยได้ทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่ได้นอนหลับเลยเป็นเวลาถึง 88 ชั่วโมง ผลลัพธ์ที่ได้คือผู้ที่ไม่ได้นอนหลับเหล่านั้น มีระดับความดันโลหิตที่สูงมากๆ และเมื่อให้กลุ่มอาสาสมัครนอนหลับประมาณ 4 ชั่วโมงต่อ 1 คืน ผลลัพธ์ที่ได้คืออัตราการเต้นของหัวใจกลับมาอยู่ในระดับที่ปกติ โดยค่าเฉลี่ยการเต้นของหัวใจใกล้เคียงกับคนที่ได้นอนปกติประมาณ 6-8 ชั่วโมง และสิ่งที่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ได้แก่ สารโปรตีนที่จะมีการสะสมตัวมากขึ้นในขณะที่เราตื่นนอน และจะถูกขับออกจากร่างกายโดยธรรมชาติเมื่อเรานอนหลับ ดังนั้นการอดนอนหรือนอนน้อยสะสมเป็นระยะนาน จึงมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ง่ายกว่าคนที่นอนหลับพักผ่อนอย่างเป็นปกตินั้นเอง

เจ็บป่วยเป็นหวัดได้ง่าย

    การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีผลทำให้ร่างกายเป็นไข้หวัดบ่อยมากกว่าปกติ เพราะร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง โดยงานวิจัยจากหลายสถาบันเปิดเผยว่า ผู้ที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน มีโอกาสป่วยมากกว่าผู้ที่นอนเกิน 8 ชั่วโมงต่อคืน ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่นอนหลับยากมีโอกาสป่วยง่ายกว่า ผู้ที่นอนหลับง่ายมากถึง 5.5 เท่าอีกด้วย

ระบบย่อยอาหารเริ่มมีปัญหา

    งานวิจัยในต่างประเทศพบว่า ชาวอเมริกันราว 250 คน ที่มีพฤติกรรมการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ กลายเป็นผู้ป่วยโรค IBD หรือเรียกว่า โรคกลุ่มอาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง ซึ่งมีผู้ป่วย 10-15% ป่วยเป็นโรคโครห์น Crohn’s disease มีลักษณะอาการ ได้แก่ มีการท้องเสียปนเลือดบางครั้ง รู้สึกปวดท้องจากการอักเสบของลำไส้ น้ำหนักลด ท้องอืด อาเจียน ซึ่งถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาให้หายได้  แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก ถ้าหากร่างกายมีการพักผ่อนไม่เพียงพอ

โอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง

นักวิจัยบางส่วนได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า โรคมะเร็งบางชนิดสามารถกำเริบได้หากมีพฤติกรรมการนอนที่ไม่เพียงพอ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ โดยจากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Tohoku ในประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการเก็บข้อมูลจาก 24,000 คน พบว่าผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 40-79 ปี และมีพฤติกรรมการนอนที่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีภาวะเสี่ยงมากถึง 62% ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม ในขณะที่กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมการนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อคืน มีความเสี่ยงเพียงแค่ 28% และอีกหนึ่งงานวิจัยที่ได้จากการศึกษาคนจำนวน 1,240 พบว่าผู้ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างเป็นปกติมากถึง 47%  อีกด้วย

          การนอนหลับพักผ่อน ถือว่ามีปัจจัยสำคัญมากที่จะส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ถ้าหากร่างกายเกิดการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจหมายถึงการบั่นทอนของอายุขัยให้สั้นลงได้อีกด้วย ดังนั้นการนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพที่ดี นอกเหนือจากการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

Facebook
Twitter
WhatsApp
Email
  • All
  • ที่นอนผู้สูงอายุ
  • ผลวิจัยการนอนเพื่อสุขภาพ
  • พฤติกรรมการนอนน้อย
  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ ไรฝุ่น ไวรัส เชื้อรา ในที่นอน
  • วิธีดูแลตัวเอง
  • วิธีเลือกที่นอน
  • อาการจาม
  • โรคจมูกอักเสบ
  • ไรฝุ่น

สิ่งที่ไม่รู้ไม่ได้ สำหรับคนเตรียมจะซื้อที่นอน

สิ่งที่ไม่รู้ไม่ได้ สำหรับคนเตรียมจะซื้อที่นอน

Previous
Next

           ในแต่ละวัน เราจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ไปกับการพักผ่อน ผ่อนคลายอิริยาบถ เพื่อเก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น ที่นอนจึงเป็นของใช้ที่เราต้องอยู่กับมัน ต้องสัมผัสมันทุกวันแน่นอน แล้วก็เป็นอะไรที่เราต้องการ เรียกร้องหามากๆ เวลาเราเหนื่อยมาทั้งวัน ก็อยากจะเอนกายลงบนที่นอน แล้วก็หลับพักผ่อน… 

แต่!!!    ถ้าที่นอนมันสร้างปัญหาให้กับการนอนขึ้นมาล่ะ

คุณยังจะแฮปปี้ไหม? กับเรื่องของการนอนแล้ว หลายคนมักเจอปัญหาเหล่านี้… 

 • อยากนอน แต่เอนตัวลงนอน แล้วนอนไม่หลับ 

• ปวดหลังเมื่อยตัว ทุกครั้งหลังตื่นนอน 

• ตื่นอยู่เป็นประจำ เมื่อคนนอนข้างๆ พลิกตัว หรือขยับตัว

• นอนๆไปแล้วปวดไหล่ เลยพาให้หลับไม่ลง

Previous
Next

       ปัญหาพวกนี้มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถ้าเกิดเราเลือกที่นอนไม่ดีพอ หรือไม่เหมาะกับสรีระ และลักษณะการนอนของแต่ละคน แต่ละครอบครัว   แล้วควรเลือกซื้อที่นอนอย่างไร มีอะไรบ้างที่ควรรู้?

การเลือกซื้อที่นอนมันไม่ใช่ว่าเราจะเลือกที่นอนแพงๆ แล้วดีแน่นอน

         มันไม่ใช่!!!  หรือลองนอนแล้วนุ่มมาก เลยเลือกซื้ออันนี้แหละ โดยที่หารู้ไม่ว่ามันอาจสร้างปัญหาให้เราภายหลัง และเชื่อเถอะว่าที่นอนหนึ่งหลัง มันไม่ใช่ว่าเราอ่านสเปคที่นอนของแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น แล้วก็สามารถตัดสินใจได้เลย แต่มันต้องดูหลาย ๆ อย่าง ทั้งความรู้สึก โครงสร้าง วัสดุ การเอนรับหลัง ดูสรีระของเราและดูความกระชับของที่นอน ที่มีต่อร่างกาย เพราะฉะนั้น เมื่อการเลือกที่นอนเป็นเรื่องละเอียดขนาดนี้ เราก็เลยมีการลิสต์ 5 สิ่ง สำหรับการเลือกซื้อที่นอนใหม่ ที่คุณจะไม่รู้ไม่ได้   มาฝากกันค่ะ

1. ที่นอนนุ่มไม่ดีเสมอไป

               เชื่อเลยว่าไม่ว่าใครก็อยากได้ที่นอนนุ่มๆ แต่หารู้ไม่ว่า ที่นอนที่นุ่มจนเกินไป มันมีความยุ่งยากตามมา เช่น ที่นอนเป็นหลุมง่าย นอนไปสักพักปวดหลัง หรือบางเตียง นอนสองคน พลิกตัวแล้วคนที่นอนข้างๆตื่น ที่นอนที่ดีจริงๆแล้ว จะต้องมีความนุ่มและความหนาแน่นเท่ากันทั้งหมดทุกส่วนของที่นอน ถ้าก่อนซื้อเรามีโอกาสได้ลองนอน ควรจะทดสอบให้รู้เลยว่า ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของที่นอนนิ่มจนยวบมากเกินไป 

          ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรานั่งลงไปบนที่นอน จะต้องไม่นิ่มยวบลงไปมากจนเกินไป เวลาเรานอนลงไปแล้วจะต้องเต็มหลัง โดยการอาจจะทดลองนอน แล้วเอามือสอดตรงแผ่นหลังดู ที่นอนที่สอดมือเข้าไปแล้วเต็ม ไม่มีช่องว่างระหว่างกายกับที่นอน เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการซื้อที่นอนใหม่

2. เลือกที่นอนแบบไหนดี ที่นอนแล้วไม่ปวดหลัง

                 เรื่องของอาการปวดหลังจากการนอนนั้น เกี่ยวกับที่นอนโดยตรง ซึ่งโครงสร้างของที่นอนนั้นมีผลอย่างมาก ที่อาจส่งผลต่อร่างกายเวลานอน ซึ่งอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นมักเกิดจากที่นอนมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน ใช้ไปนานๆ กลายเป็นหลุม เลยทำให้หลังของเรารับน้ำหนักร่างกายมากเกินไป เมื่อสะสมเป็นระยะเวลายาวนาน ก็เลยทำให้ปวดหลังได้
ถามว่าแล้วเราควรเลือกที่นอนแบบไหน?  ที่นอนที่เหมาะจะนอน แล้วไม่ปวดหลัง ก็คือที่นอนยางพาราสำหรับคนทั่วไป และที่นอนยางพาราอัด
สำหรับท่านที่มีอายุเกิน 50-60 ปี หรือท่านที่มีน้ำหนักตัวมาก ซึ่งมีความหนาแน่นเท่ากัน ที่นอนอีกประเภทที่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจก็คือ ที่นอนสปริง ที่แม้ว่าจะมีราคาที่ต่ำกว่าที่นอนยางพารา แต่ตัวโครงสร้างของมันก็มีความหนาแน่นไม่ต่างกัน แถมยังมีความยืดหยุ่นและการคืนตัวที่ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะสปริงที่อยู่ในที่นอนจะรองรับสรีระได้ดีกว่า เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบนอนตะแคงเพราะสปริงจะยุบตัวลงไปไม่กดทับ จึงไม่ปวดไหล่ ปวดหลังเวลานอน

3. ที่นอนยี่ห้อดีๆ ใช้ทนเกิน 10 ปี ไม่มียวบ

            บอกเลยว่า ถ้าคุณเลือกที่นอนยี่ห้อดี ๆ โครงสร้างทน ๆ คุณไม่มีทางได้เสียเงินซื้อที่นอนใหม่ในช่วง 10-20 ปี เพราะว่ามันไม่พังแน่ ดูอย่างบางบ้าน เชื่อไหมว่าที่นอนใช้มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ก็ยังทนทานดี ไม่มียวบ หรืออย่างตามโรงแรมนี่ก็ ที่นอนทนมาก จากประสบการณ์การผลิตที่นอนของเรานั้น นานหลาย 10 ปี ถึงจะเปลี่ยนใหม่ ทั้งที่แขกเข้าพักไม่เว้นวัน

ถ้าคุณอยากได้ที่นอนที่ทนทานแบบโรงแรมบ้าง สิ่งสำคัญที่คุณต้องดูคือโครงสร้างของที่นอน ซึ่งมี 3 ส่วนหลักๆ คือ

ส่วนรับน้ำหนัก

 

          นั่นคือ วงสปริง ที่คุณต้องเลือกที่นอนที่มีวงสปริงแข็งแรง คงทน แต่ยืดหยุ่น มีคุณภาพของลวดที่ดี เส้นผ่านศูนย์กลางลวดนั้น รองรับน้ำหนักการใช้งานได้เพียงพอ และควรตรวจสอบเรื่องการพับงอได้ของที่นอนด้วย เนื่องจากบางครั้ง ห้องของเราอาจจะมีประตูแคบกว่ามาตรฐาน หรือลิฟท์/บันได แคบเกินกว่าจะขน ที่นอนขนาดคิงไซส์ให้ผ่านได้ 

ส่วนให้ความสบาย

         ส่วนนี้คือ ส่วนที่เป็นวัสดุที่ประกบวงสปริง โดยสิ่งที่ต้องคำนึง ถ้าอยากได้ที่นอนทนๆ ก็คือคุณภาพฟองน้ำต้องดีเยี่ยม แน่นอนว่าสำหรับที่นอน SLEEPEN แล้ว ได้คุณภาพ ความนุ่มกำลังดี มีความแน่นเท่ากันทุกส่วน รับรองว่า “ทน ทุก ท่า” แน่นอน!!!

ส่วนผ้าหุ้ม

          ส่วนนี้มองข้ามไม่ได้ เนื่องจากมีส่วนทำให้ที่นอน ทั้งทนทาน ไม่สกปรกง่าย และยังปลอดภัย รักษาสุขภาพอีกด้วย อาทิ ที่นอน SLEEPEN รุ่นต่อต้านไวรัส ใช้ผ้าหุ้มนิตแจ็คการ์ด นวัตกรรมจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่สามารถต่อต้านไวรัส และแบคทีเรียร้าย ที่นอนจึงไม่เป็นที่เพาะพันธุ์ และแพร่พันธุ์ของเชื้อโรค อีกต่อไป ซึ่งอันนี้มีผลกับการกำจัดไรฝุ่นออกไปจากที่นอนไปด้วยเลย นอกจากนี้ผ้าหุ้มยังมีแบบ ไม่ลามไฟ แบบสะท้อนน้ำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติ ที่เหมาะกับที่นอนในโรงแรม และงานโครงการอย่างยิ่ง

Facebook
Twitter
WhatsApp
Email
  • All
  • ที่นอนผู้สูงอายุ
  • ผลวิจัยการนอนเพื่อสุขภาพ
  • พฤติกรรมการนอนน้อย
  • ภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้ ไรฝุ่น ไวรัส เชื้อรา ในที่นอน
  • วิธีดูแลตัวเอง
  • วิธีเลือกที่นอน
  • อาการจาม
  • โรคจมูกอักเสบ
  • ไรฝุ่น